การใช้งาน OS X 10.5-Leopard ทั่วไปเบื้องต้น
Software Update : อัพเดทซอฟแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
สิ่งที่เราควรทำหลังจาก Install Application ต่าง ๆ ลงในเครื่องแล้วคือการตรวจสอบว่า Applications ของเรานั้นเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดหรือไม่ เพราะ
โดยที่รูปแบบทั่วไปของการอัพเดทมีดังนี้
note : ปรกติแล้ว หลังจากที่ทำการติดตั้ง OS X หรือโปรแกรมต่าง ๆ ครั้งแรก จะมีการเตือนอัตโนมัติให้เราอัพเดทตามครับ =)
1.การ update แบบเตือนอัตโนมัติ
สำหรับบางกรณี OS X หรือ Securities Update (การปรับปรุงระบบความปลอดภัย) จะมีการเตือนขึ้นมาโดยอัตโนมัติให้เราเลือก update ครับ แบบนี้
เมื่อคลิ๊กเข้าไปจะพบกับหน้าต่างนี้
จากนั้นก็คลิ๊กเพื่อ Install Update ครับ
2.การ update สำหรับ OS X / OS X Apps ต่าง ๆ ด้วยตนเอง
ไปที่เครื่องหมาย Apple (บนเมนูบาร์ ด้านซ้ายบนสุด)
อธิบาย
1.About This Mac : บอกว่าตอนนี้เครื่องที่เราใช้งาน OS X เวอร์ชั่นไหนอยู่ และมี Spec อะไรบ้าง
2.Software Update... : ตรวจสอบอัพเดทของ OS X รวมไปถึง Application พื้นฐานต่าง ๆ ที่มากับ OS X (ถ้าใครซื้อซอฟแวร์จาก Apple เช่น Pro Apps ต่าง ๆ ก็จะมาขึ้นในส่วน update นี้ให้ด้วย)
3.Mac OS X Software... : เข้าไปที่หน้า download Application ต่าง ๆ จากในเวป apple ครับ มีทั้ง app จากทาง apple เอง กับ app ค่ายอื่น ๆ
ถ้าต้องการตวรจสอบ update ด้วยตนเอง ให้เลือก Software Update.. ครับ
About This Mac
ข้อมูลพื้นฐานบนเครื่องเรา ว่าใช้ System เวอร์ชั่นไหน และมี Spec อะไรบ้าง
note : สามารถกดเลือก Software Update ได้จากหน้าต่างนี้เลย
Software Update...
จะเป็นการตรวจสอบ Applications พื้นฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน OS X ครับ พวก iCal, Safari,... หรือว่าชุด iLife, iWork เป็นต้น
1.ถ้าตรวจเจอ Update เค้าจะถามเราว่าต้องการจะ Install หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วควรจะเลือกลงทั้งหมด
2.กด Install ทั้งหมดที่เลือกไว้เพื่อ update Application บนเครื่องเรา
Mac OS X Software
เราจะถูกพาเข้ามาที่หน้า download บน apple.com ครับ มีทั้ง app จากทาง apple เอง และ app จากค่ายอื่น ๆ
3.การอัพเดท Application ที่ไม่ใช่ของ apple
ถ้าเราต้องการ update Application ที่เราซื้อ หรือ install ติดตั้งเองภายหลังที่ไม่ใช่ software จาก apple โดยทั่วไปสามารถทำได้ จาก
1.การไปที่ Help ของโปรแกรมนั้น ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีทั้งการเชคแบบอัตโนมัติ หรือไม่ก็ให้เราเชคเองเป็นครั้ง ๆ ไปครับ เช่น..
หรือ
2.การ update จะอยู่ในเมนูภายใต้ชื่อของโปรแกรมเอง (อันเดียวกับที่เราจะเข้า preference ของโปรแกรมนั้น ๆ ล่ะครับ) เช่นแบบนี้
Apple โพสในหน้า support บน apple.com ถึงวิธีแก้อาการ update OS X ผ่าน Software Update (จาก apple menu) แล้วค้างค้างระหว่างการ update
<
div>
มาทำความรู้จักกับ Desktop ของเรากัน
Desktop หรือว่าหน้าต่างแรกที่เราจะเข้ามาเจอตอนเปิดเครื่องเป็นพื้นที่หลักในการทำงานบนเครื่องของเรา และยังใช้สำหรับให้เราจัดการเข้าถึงทรัพยากร หรือส่วนต่าง ๆ ของเรื่องเราได้โดยง่าย (คล้าย ๆ กับบน windows pc)
มีส่วนประกอบทั่วไปดังนี้
1.Menu Bar - เมนูบาร์ : แถบแสดงคำสั่ง + icon แสดงสถานะการทำงานของเครื่อง
1.1. Active application : ตรงนี้จะเป็นตัวบอกว่าเรากำลังใช้งาน application อะไรอยู่ (โดยจะเปลี่ยนไปตาม application ที่เราใช้งานอยู่ล่าสุดเสมอ)
2.Hard disk icon : แสดง icon ของ Hard disk (HD) เราบนเครื่อง จำนวนขึ้นอยู่กับ partition ที่แบ่งเอาไว้ภายในเครื่อง และ จำนวน HD ที่ถูกเชื่อมต่อภายนอก
3.Desktop : พื้นที่ทั้งหมดนี้ เรียกว่า Desktop
4.Dock : เป็นแหล่งรวม icon ของ applications ต่าง ๆ ให้เราเรียกใช้ได้โดยสะดวกมากขึ้น (สามารถลาก icon โปรแกรมที่อยากได้มาลงเพิ่ม/ ปรับลดได้) + ใน 10.5 นี้มี Stack มาเป็น Feature ใหม่เพิ่มขึ้นมาบน Dock ด้วย
5.Finder Window : หน้าต่างของโปรแกรม Finder (ประมาณ windows explorer) เอาไว้สำหรับค้นหา/ บริหาร / เข้าถึงเพื่อจัดการกับไฟล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องเรา
6.Stack : เป็นความสามารถใหม่ที่เพิ่งมีบน OS X Leopard มีจุดประสงค์เพื่อสดความสับสนของจำนวนไฟล์ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ บน desktop ของเรา โดยที่ติดมากับเครื่องทีแรกเลยจะมี 2 stack คือ
บางคนอาจจะสับสนว่า แล้วมันต่างอะไรกับการสร้าง folder แล้วลากมาวางบน dock?
ที่แตกต่างจาก Folder คือ Stack จะแสดงไฟล์ที่ถูกจับโยนลงมาล่าสุดให้เราได้เห็นเป็น icon เล็ก ๆ ครับ (ซึ่งจะเปลีี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามไฟล์ที่ถูกใส่ลงมาล่าสุด) ... เท่านี้ครับ เท่านี้จริง ๆ - -a ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะ ผสม ๆ กันก็ได้
จากภาพ 1.stack สำหรับไฟล์ชั่วคราว / 2.Documents folder / 3.Download stack / 4.trash
7.Trash : ถังขยะประจำเครื่อง เอาไว้สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ต้องการ หรือลบ application ที่ไม่ต้องการทิ้งไป
(ใช้สำหรับการ uninstall บาง application ได้ด้วย) โดยที่ไฟล์ที่ถูกเราลบจะถูกนำมาพักไว้ในถังขยะนี้ก่อน (เหมือนบน windows pc) ถ้าเราต้องการที่จะลบไฟล์ออกจริง ๆ ให้คลิ๊กขวาแล้วเลือก Empty Trash
note :
8.Spotlight : ค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในเครื่อง การทำงานคร่าว ๆ ของ spotlight คือ คล้าย ๆ กับการค้นหา โดย search engine บนเครื่องเรา เช่น ลองพิมพ์คำว่า mac ลงไป ผลลัพท์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า mac จากในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องจะขึ้นมาให้เราเห็น พร้อมทั้งแยกประเภทของไฟล์ต่าง ๆ ที่ค้นเจอมาให้ด้วย
เพิ่มเติม
ดู System Preferences : การเปลี่ยนรูปพื้นหลัง Desktop
จัด Icon บน Desktop
เราสามารถปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลของ icon บน desktop ให้ตรงกับความต้องการของเราได้ โดยมีวิธีการดังนี้
คลิ๊กขวาบนที่ว่างในหน้า Desktop ของเรา
เลือก Show View Option
ถ้ายังไม่เคยปรับอะไรมาก่อนเลย เราจะได้หน้าต่างประมาณด้านล่างนี้ครับ
เริ่มปรับแต่งในส่วนต่่าง ๆ กัน
Icon Size :
ปรับขนาดของ icon บน desktop เราครับ
Icon size : 48 x 48
Icon size : 32 x 32
Grid Space :
ขนาดช่องไฟของ icon แต่ละแถว
Text size :
ขนาดของตัวหนังสือ (ชื่อ Icon) เลือกปรับเอาที่อ่านแล้วสบายตาที่สุดนะครับ =)
Label Position
เลือกตำแหน่งของชื่อไฟล์ / แฟ้ม
เอาชื่อไว้ทางขวาของ icon
เอาชื่อไว้ด้านล่าง icon
Show items info :
แสดงรายละเอียดของไฟล์ เช่น ขนาดกว้าง x ยาวของไฟล์ภาพ หรือพื้นที่ ๆ เหลืออยู่บน HD หรือจำนวนไฟล์ในแฟ้ม .. เป็นต้น
Show icon preview :
แสดง / ยกเลิก icon preview
แบบไม่แสดง preview ไฟล์จะขึ้นเป็นสัญลักษณ์มาตรฐานของ OS
แสดง icon preview สังเกตดูว่าตัว icon เป็นรูปเนื้อหาของไฟล์นั้น ๆ เองแล้ว
Arrange By :
การจัดเรียง icon ตามลำดับ ตามที่เราเลือก ซึ่งถ้าเราไม่เลือกตรงนี้ไว้ icon บน desktop ของเราจะอยู่กันกระจัดกระจายไม่เป็นหลักแหล่ง ทำให้ยากต่อการค้นหา (ในบางกรณีเค้าสามารถซ้อนกันได้) ดังรูป
ตัวเลือกสำหรับการ Arrange มีดังนี้
ตัวอย่างของการ Arrange By Name + Snap to Grid การจัดไฟล์เรียงลำดับตามชื่อ และเรียงตาม Grid เว้นช่องไฟไว้เท่า ๆ กัน
Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อในรูปแบบหนึ่ง โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณวิทยุสั้น ๆ เพื่อรับส่งข้อมูลจากปุกรณ์ Bluetooth เหมือนกัน โดยสามารถใช้งานได้คร่าว ๆ ดังนี้
หรือการเชื่อมต่อหูฟังไร้สายเข้ากับโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้เร่ิมจะมีให้เห็นกันมากขึ้นแล้วในประเทศไทย จากการบังคับไม่ให้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยขณะขับรถ
ถือว่าการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth นี้มีประโยชน์ในหลาย ๆ ทาง และบางครั้ง ก็สามารถรับ - ส่งไฟล์ข้ามไปมาระหว่างเครื่อง Notebook ได้อีกด้วย (อันนี้ผมเจอมากับตัวเองครับ เลยเขียนเก็บเอาไว้ด้วยเลย อ่านได้จาก link ข้างล่างนี้ หรือในส่วนของ Mac 101 นะครับ)
การเปิด /ปิด Bluetooth ภายในเครื่อง
เราสามารถเปิด / ปิดการทำงานของระบบ Bluetooth ภายในเครื่องได้จาก
การจับคู่อุปกรณ์ Bluetooth เข้ากับ OS X
เรียก System Preferences แล้วเลือก Bluetooth
เข้าหน้าต่างใหม่ แสดงรายการอุปกรณ์ Bluetooth ที่ทำการ pair (จับคู่) เข้ากับเครื่องเราแล้วอยู่ทางด้านซ้ายมือ
กดเครื่องหมาย + เพื่อเพิ่มอุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าไปในระบบ จากนั้นจะเข้าหน้าต่าง Bluetooth Setup Assistant เพื่อให้เราเลือกว่าจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Bluetooth แบบไหนบ้าง
เมื่อเลือกเชื่อมต่อจับคู่ (Pairing) เรียบร้อยแล้ว สามารถรับส่งข้อมูลผ่าน icon bluetooth หรือผ่าน iSync ได้ (กรณีต่อกับโทรศัพท์มือถือ)
สามารถเข้าไปดูตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ iSync เชื่อมต่อกับมือถือได้จาก link นี้ครับ
http://macmuemai.com/content/92
อ่านเพิ่มเติมประกอบ
เกี่ยวกับ Bluetooth บน OS X
http://support.apple.com/kb/HT3039?viewlocale=en_US
การรับส่งไฟล์ระหว่าง OS X และอุปกรณ์ Bluetooth ด้วยกัน
http://support.apple.com/kb/HT3042?viewlocale=en_US
เกี่ยวกับการใช้งาน iSync เบื้องต้น(บนแมคมือใหม่.คอม)
http://macmuemai.com/tag/isync/view
ส่วน Bluetooth Sharing นั้น จะมีรายละเอียดดังนี้
อธิบาย
เคยไหมครับ ที่บางทีเราต้องออกมาคุยงานกันข้างนอก แต่..
เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเอง เลยอยากจะมาเล่าสู่กันฟังสำหรับวิธีง่าย ๆ ในการรับส่งไฟล์ระหว่างเครื่องโน๊ตบุค ที่ถ้าเราเกิดมาอยู่ในสถานการณ์ไร้การเชื่อมต่อแบบนี้ เราจะทำอย่างไร?
note : วิธีในบทความนี้จะกล่าวถึงการส่งไฟล์ระหว่าง MacBook กับ Notebook ระบบ Windows (XP) นะครับ แต่วิธีเดียวกันสามารถใช้ได้กับทั้งเครื่องแบบ Mac-Mac หรือ Mac-Win ครับ
วิธีที่ว่านี้คือ ใช้ Bluetooth ครับ
ใช่แล้ว เจ้า Bluetooth ที่เราใช้ sync ข้อมูลจากมือถือลงเครื่อง หรือจับคู่หูฟังกับเครื่องโทรศัพท์เรานั่นล่ะ
วิธีคือให้ทำการ pair (จับคู่) เครื่อง notebook ของทั้งสองเครื่องเข้าด้วยกัน ด้วยกรรมวิธีแบบเดียวกับการจับคู่อุปกรณ์ Bluetooth อื่น ๆ กับเครื่องของเราสำหรับการรับส่งข้อมูล หรือ การ pair เครื่องโทรศัพท์เข้ากับหูฟัง
เมื่อ pair ด้วยกันแล้วจากนั้นจะส่งไฟล์ หรือว่าเข้าไปดูไฟล์ของเครื่องอีกฝ่ายหนึ่งได้เหมือนการเชื่อมต่อ network แบบทั่วไปแล้วครับ =)
และตัวอย่างต่อไปนี้ จะเป็นการ setup เพื่อเตรียมการรับส่งไฟล์ระหว่างเครื่อง MacBook กับ Notebook ระบบ Windows XP ซึ่งจะเขียนอธิบายการเชื่อมต่อจากฝั่งเครื่อง MacBook เป็นหลัก โดยให้อีกเครื่อง ที่เป็น Windows XP อยู่เฉย ๆ แค่เปิด Bluetooth รอเอาไว้อย่างเดียวครับ
ขั้นตอนที่ 0 ก่อนเริ่ม
บนเครื่อง MacBook มีเรื่องที่ต้องทำก่อนการรับส่งไฟล์ผ่าน Bluetooth นี้ครับ
ในส่วนของ File Sharing คือการกำหนด Permission ว่าผู้ที่จะมารับส่งไฟล์กับเรานั้น สามารถเข้าถึงได้แค่ไหน และใครเข้ามาได้บ้าง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก link นี้ครับ
http://macmuemai.com/content/95
ในส่วนของ Bluetooth Sharing นั้นจะเป็นการกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยในการรับส่งไฟล์ผ่าน Bluetooth บน OS X ของเราครับ ผมคงข้ามไปก่อน แต่จะเขียนเพิ่มเติมให้อ่านกันอีกทีในส่วนของ How-to ไปเลยก็แล้วกันนะครับ มีรายละเอียดเยอะพวกสมควร =)
[update : ผมเขียนรายละเอียดของ Bluetooth Sharing เอาไว้แล้ว ที่นี่ http://macmuemai.com/content/676 ครับ ]
ขั้นตอนที่ 1ให้เปิดการทำงานของ Bluetooth ในเครื่องโน๊ตบุคทั้งสองตัว
ขั้นตอนที่ 2 การ Pair (จับคู่) เครื่องทั้งสองเข้าด้วยกัน
หลังจากเปิด Bluetooth บนเครื่องทั้งสองแล้ว บนเครื่อง MacBook ให้ไปที่ System Preferences แล้วเลือกหัวข้อ Bluetooth ครับ
จะเข้าหน้า Bluetooth Preferences
จากนั้น กดเครื่องหมาย + เพื่อเรียก Bluetooth Setup Assistant ขึ้นมาทำการ scan อุปกรณ์ Bluetooth ให้เครื่องของเรา ซึ่งในที่นี้คือการ scan หาเครื่อง Windows XP ที่เปิด Bluetooth รอเอาไว้แล้ว
กด Continue ผ่านหน้านี้ไป
รอสักพักถ้าไม่มีอะไรผิดปรกติ เราจะเห็นชื่อเครื่องของอีกฝ่ายนึงอยู่ในรายการ Devices ในผลการ scan ค้นหาอุปกรณ์ Bluetooth ของเรา
จากนี้ไปไม่มีภาพนะครับ เพราะผมลืมเตรียมภาพเก็บเอาไว้ ขอน้อบรับผิดครับ.. แต่คิดว่าไม่น่ายากแล้ว เพราะว่าจะคล้าย ๆ กับการ pair อุปกรณ์ bluetooth อื่น ๆ ทั่วไปครับ
ที่ต้องทำต่อคือ
หลังจากการเชื่อมต่อเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะเห็นชื่อของเครื่องเพื่อนเราอยู่ในรายการ Devices ใน Bluetooth ตรงเมนูบาร์ของเราแล้วแบบนี้ครับ
note : จะใช้เครื่องไหนสั่งจับคู่ก็ได้ให้ผลเหมือนกันครับ คือต้องตั้งระหัสก่อน แล้วให้อีกฝ่ายกดรับเหมือนกัน
ขั้นตอนที่ 3 การรับส่งไฟล์
บน OS X ไปที่เมนูบาร์ เลือก icon ของ Bluetooth และเลือกชื่อเครื่องของเพื่อนเราจากในรายการ Devices เราจะเห็นตัวเลือกเพิ่มเติมมาอีก 2 หัวข้อ ตามนี้ครับ
อธิบาย
เมื่อทำทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถที่จะรับส่งไฟล์ต่าง ๆ ผ่าน Bluetooth ได้เหมือนเชื่อมต่อ network แบบปรกติทั่วไปแล้วครับ =)
note : การรับส่งไฟล์ขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าปรกติบ้าง เพราะว่าระบบ Bluetooth ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับแนวนี้โดยเฉพาะครับ แต่ถ้าเอาไว้ใช้รับส่งไฟล์ภาพ หรือเอกสารทั่วไป ก็ค่อนข้างเร็วพอสมควร
หมดแล้วครับ หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
credit : สำหรับผู้ที่จุดประกายให้ผมได้ลองวิธีนี้ ขอบคุณน้อง Nannie มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
Burn : คือการเขียนแผ่น (หรือที่บางคนจะเรียกว่า Write) เป็นการบันทึกข้อมูลลงแผ่น CD/DVD โดยที่ Burn จะเป็นคำที่จะใช้ในความหมายนี้บน OS X
ถ้าเราต้องการที่จะทำการ Burn ข้อมูลลงบนแผ่น CD/DVD เราสามารถทำได้เลยบน OS X โดยที่ไม่ต้องหาโปรแกรมมาเพิ่มเติมตามวิธีการด้านล่างนี้
note : ถ้าต้องการจะ Burn DVD แผ่นที่จะใช้จะต้องเป็นแผ่นแบบ DVD-R เท่านั้น - [ตรงนี้ผมเข้าใจผิดครับ drive รุ่นใหม่ ๆ burn แผ่น DVD+R ได้แล้ว-ก๊อก ]
1.สร้าง Burn folder :
เป็นวิธีที่ง่าย และเร็วมากวิธีหนึ่งในการเขียนแผ่นครับ คือคลิ๊กขวา เลือกสร้าง Burn folder แล้วลากไฟล์ที่ต้องการลงมาใน folder เพื่อเตรียม Burn ได้เลย
ข้อดี :
ข้อด้อย :
note :
2.Burn Disk Image ผ่าน Disk Utility
ใช้ Disk Utility สร้าง Disk Image ขึ้นมาสำหรับไฟล์ที่เราต้องการจะ Burn โดยเฉพาะ
มีข้อดีคือ :
ข้อด้อย :
note : ดู การ Burn แผ่นจาก Disk Utility ประกอบ
3.ถ้าเป็นไฟล์ที่เราทำขึ้นบน iPhoto, iMovie, iDVD
เราสามารถที่จะส่งตรงไป Burn ลงแผ่นได้เลยจากภายในตัวโปรแกรมเอง (ส่วนมากอยู่บนคำสั่ง Share บน เมนูบาร์)
ตัวอย่างการ Burn ลงแผ่นโดยตรงจาก iPhoto 06
4.Burn ผ่าน Finder
ตอนอยู่ใน Finder
เราสามารถนำ Burn icon มาไว้บน Finder toolbar ได้เพื่อความสะดวกครับ
ดู การ Burn แผ่นจาก Finder ประกอบ
ดู Tips : การ นำ Burn icon มาไว้บน Finder Toolbar ประกอบ
อ่านเพิ่มเติม
Mac OS X 10.5 Help : Burning CD or DVD จากหน้าเวป support บน Apple.com
Disk Burning Quick Assist จากหน้าเวป support บน Apple.com
ผมมีความคิดที่ว่า เราน่าจะมาแชร์ข้อมูลตรงนี้กันนะครับ เอาไว้สำหรับอ้างอิง มีจุดประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการซื้อแผ่น CD, DVD เพื่อมา burn ข้อมูลเก็บเอาไว้ โดยที่ผมจะทะยอยอัพเดทโพสนี้ให้เรื่อย ๆ ตามข้อมูลที่มีเข้ามานะครับ
MacBook
Model | Details | OS | Drive | แผ่นที่ Burn ได้ | แผ่นที่มีปัญหา |
MacBook รุ่นแรก | Intel 2.0 GHz Core Duo RAM 1 GB |
10.5.5 | MATSHITA DVD-R UJ-857 |
|
|
MacBook Pro
Model | Details | OS | Drive | แผ่นที่ Burn ได้ | แผ่นที่มีปัญหา |
MBP (mid 2007) | 2.4GHz | - | MATSHITA DVD-R UJ-85J |
|
|
MBP | 2.2 GHz Core 2Duo | - | MATSHITA DVD-R UJ-857E |
|
|
iMac
Model | Details | OS | Drive | แผ่นที่ Burn ได้ | แผ่นที่มีปัญหา |
iMac | Intel 2.66 GHz Core2Duo | 10.5.5 | OPTIARC DVD RW AD-5630A |
|
|
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถนำหัวข้อ (สีน้ำเงิน) นี้ไปเขียนข้อมูลประกอบแล้วโพสต่อไปได้เลย เดี๋ยวที่เหลือผมจับมารวมกันในตารางให้นะครับ
Drive : MATSHITA DVD-R UJ-857 (เป็นรุ่นของ Combe/ Supper Drive ที่เรามีในเครื่องครับ ดู note ประกอบ)
Model : MacBook รุ่นแรก
Processor : Intel 2 GHz Core Duo
RAM : 1 GB
OS : 10.5.5 (ตรงนี้ใคร Burn ผ่าน Windows ก็ให้ระบุมาด้วยก็ได้ครับ)
แผ่นที่ Burn ได้ดี (ไม่มีปัญหา) :
แผ่นที่ Burn ไม่ได้ หรือว่า Burn แล้วเสีย :
note : วิธีดูว่าเครื่องเรามีไดร์ฟรุ่นไหน ให้เปิด System Profiler (เรียกจากใน Applications/ Utilities) แล้วเลือกหัวข้อ Disc Burning ทางด้านซ้ายมือ เราจะเห็นชื่อไดร์ฟที่เรามีครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการจะให้ข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากที่โพสนี้ตกหน้าแรกไปแล้ว สามารถตามเข้าไปดูได้จากหัวข้อ burn disc ที่เป็น tag ทางด้านซ้ายมือครับ
ขั้นตอนการ Burn Disk Image ผ่าน Disk Utility
ใน Disk Utility เลือก File /New/ Blank Disk Image
หน้าต่างกำหนดค่าของ Disk Image
Volume Name : ชื่อ Volume ของ Disk Image ที่จะเห็นตอนที่ Mount บน Desktop หรือว่าเป็นชื่อของ Disk ที่อยู่ใน CD/DVD Drive ครับ
Volume Size : กำหนดขนาดของ Disk Image (เลือกเอาตามเหมาะสมครับ)
Volume Format : กำหนด Format ของ Disk Image จากตัวอย่างด้านบนผมจะ burn แผ่นนี้ไปใช้บน window pc ครับ เลยเลือก Format แบบ MS-DOS (FAT)
Encryption : เลือกว่าต้องการเข้ารหัส หรือไม่ โดยส่วนใหญ่เราตั้งค่านี้สำหรับ Disk Image ที่เราไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใช้งานครับ (ถ้าเลือกตรงนี้ ก่อนการเปิด Disk Image ทุกครั้งเราจะต้องใส่ Password ครับ)
Partition : เลือกรูปแบบของ partition ใน Disk Image นี้ครับ
โดยทั่วไปเลือกแบบ Single partition - CD/DVD with ISO data
Image Format : เลือกว่าจะให้เขียน หรือว่าอ่านได้อย่างเดียว
จากนั้นเลือก Create ครับจะมีหน้าต่างบอกเราว่ากำลังสร้าง Disk Image
หลังจากสร้าง Disk Image เสร็จแล้ว
เค้าจะ Mount อยู่บน Desktop ของเรา ให้เรา copy file/folder ที่เราต้องการลงไปในนั้นเลยครับ จากนั้นก็ใส่แผ่นเปล่าเข้าไปในเครื่อง
เลือก Open Disk Utility แล้วกด OK
ใน Disk Utility
เข้าสู่หน้าต่างเตรียม Burn
คลิ๊กที่ปุ่มลูกศรเล็ก ๆ ด้านบนขวาตามรูปครับ เพื่อดึงส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นมา
จะมีให้เราเลือก
Speed : ตั้งค่าความเร็วที่ต้องการ (ยิ้งเขียนที่ความเร็วสูง ๆ ก็มีโอกาสที่ไดร์ฟรุ่นเก่า ๆ จะอ่านไม่ได้นะครับ)
After Burning :เป็นการเลือกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจาก Burn แผ่นเสร็จแล้ว
หลังจากเลือกทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กด Burn เพื่อเขียนแผ่น
และหลังจากเขียนแผ่นเสร็จแล้ว ถ้าเราเลือก Mount on Desktop ไว้ ก็จะเห็นแผ่นของเรา Mount ขึ้นมาบน Desktop ด้วยครับ
note : ชื่อแผ่นเปลี่ยนจาก low res เป็น hi res เพราะผมลืม capture หน้าจอเอาไว้ตอนที่เขียนแผ่น Low res เสร็จครับ ^^’
เสร็จแล้วครับ เราสามารถนำ Disk ที่ได้นี้ไปเปิดดูบน window pc ได้ตามที่เราต้องการแล้ว =)
การ Burn แผ่นจาก Finder เป็นวิธีการ Burn แผ่นที่ง่ายอีกวิธีหนึ่ง เพราะสามารถทำจากใน Finder โดยตรงได้เลย เพียงแค่เลือก File/Folder ที่เราต้องการจะ Burn แล้วสั่ง File/Burn “File/Folder ที่ต้องการ” to Disc.. (ดู การนำ Burn icon มาไว้บน Finder Toolbar ประกอบ)
ข้อดี :
ข้อด้อย
note : ตรงนี้ต่างจาก Burn Folder ตรงที่ ใน Burn Folder ไฟล์ต้นฉบับจะยังอยู่ที่เดิม และมีอยู่ที่เดียวจะ update หรือว่าเปลี่ยนแปลงไฟล์ต้นทางก็ทำได้โดยง่าย เราจะไม่สับสน .. ไม่เหมือนการ Burn บน Finder ปรกติ ที่จะมี copy หลายอันจากไฟล์ต้นฉบับ จะ update หรือว่าแก้ไขกันที ก็ต้องทำหลายขั้นตอนซึ่งทำให้ “มึน” ได้ครับ
วิธี Burn แผ่นจากใน Finder
1.เลือก File/Folder ที่ต้องการ
2.จากนั้นเลือก File / Burn “File/Folder ที่ต้องการ” to Disc (หรือปุ่ม Burn บน Toolbar)
3.เครื่องจะเตือนให้เราใส่แผ่นเปล่าเข้าไปพร้อมกับบอกขนาดไฟล์คร่าว ๆ
4.ใส่แผ่นเข้าไปแล้วรอสักครู่ จะมีหน้าต่างมาให้เราตั้งค่าการ Burn แผ่น
Disc Name : ชื่อของแผ่น
Burn Speed : ความเร็วในการเขียนแผ่น (สำหรับการเขียนแผ่นที่ความเร็วสูงสุดนั้น อาจจะอ่านไม่ได้กับไดร์ฟรุ่นเก่า)
จากนั้นเลือก Burn จะมีกล่องแสดงสถานะการ Burn แผ่นของเราขึ้นมา
เสร็จแล้ว แผ่นของเราจะถูก Mount บน Desktop ให้อัตโนมัติ
Burn Folder : เป็นหนึ่งในวิธีการ Burn ข้อมูลลงแผ่นบน OS X ครับ ที่ค่อนข้างสะดวกสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่สำหรับมือใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ OS X อาจจะมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมตามนี้นะครับ
ไอคอนของ Burn Folder จะมีสัญลักษณ์ Radioactive อยู่ตรงกลางให้เราแยกออกจาก Folder ทั่วไป
note : แผ่นที่ถูกเขียนจาก Burn Folder นี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งบน Mac และ PC
หลักการและ Concept :
คือตัว Burn Folder เองจะเป็นแค่แหล่งรวม link (alias) ไปยัง File/ Folder ต้นฉบับอีกทีเท่านั้น
จากภาพนะครับ ทุก File/ Folder ที่ถูกลากเข้ามาไว้ใน Burn Folder จะถูกสร้าง alias (Shortcut-Link)ไปยังไฟล์ต้นทางอีกที โดยการ Burn แต่ละครั้งผ่าน Burn Folder นี้ไฟล์ที่จะถูก Burn จะเป็น File/Folder ต้นทางของ alias ทั้งหมดใน Burn Folder นะครับ ไม่ใช่ตัวไฟล์ที่เป็น alias ใน Burn Folder ... (อย่าเพิ่งงงนะ =P)
ซึ่งจะมีข้อดีคือ
เราสามารถทราบขนาดของข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการจะ Burn ได้โดยดูจาก Status bar ด้านล่างของหน้าต่าง Burn Folder ครับ
เอาล่ะ มาหลังจากหลักการคร่าว ๆ ของ Burn Folder แล้ว เรามาเริ่มลอง Burn ผ่าน Burn Folder กัน
สร้าง Burn Folder
ให้เลือกตำแหน่งที่เราต้องการจากนั้นคลิ๊กขวา เลือก New Burn Folder เราจะได้แฟ้ม Burn Folder ใหม่มา หน้าตาแบบนี้
เริ่มย้ายไฟล์เข้ามาใน Burn Folder
คลิ๊กเข้าไปใน Burn Folder ที่เราสร้างขึ้น จากนั้น ให้ลาก File/Folder ที่เราต้องการจะ Burn เข้ามาในนี้ครับ เหมือนลากไฟล์ทั่วไป
แล้วเราจะได้หน้าตาของ Burn Folder แบบนี้
note : สังเกตว่า ไฟล์ที่เราลากเข้ามาจะถูกทำเป็น Alias นะครับ
เมื่อพร้อมแล้ว เลือก Burn
จากปุ่ม Burn ด้านบนขวาตามรูปเลยครับ
หลังจากมีแผ่นเปล่าอยู่ในไดร์ฟแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
เข้าหน้าต่างกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการ Burn
Disc Name : ตั้งชื่อแผ่น (จะเป็นชื่อแทนตัวแผ่นที่จะเห็นตอนใส่เข้าไปใน Optical Drive แล้ว Mount บน Desktop หรือ บน windows pc ครับ)
Burn Speed : ตั้งค่าความเร็วของการเขียนแผ่น (การเขียนแผ่นด้วยความเร็วสูง ๆ บางครั้งจะทำให้ไดร์ฟ CD/DVD บางรุ่นอ่านไม่ได้ครับ ทางทีดีคือลดความเร็วในการเขียนแผ่นลง)
จากนั้นเลือก Burn เพื่อยืนยัน แล้วจะขึ้นหน้าต่างแสดงขั้นตอนการ Burn แผ่นครับ
หลังจากเสร็จแล้ว CD/DVD ที่เราเพิ่ง Burn ไปจะถูก Mount ขึ้นมาบน Desktop ให้เลย
เป็นอันเสร็จขั้นตอนการ Burn ผ่า่น Burn Folder ครับ =)
note : ตามาปรกติของการ Burn Folder นั้นเราจะเขียนแผ่นแบบ Multisession โดยตรงเลยไม่ได้ ต้องใช้ Disk Utility ช่วยครับ .. ประมาณว่า ให้เราสร้าง Disk Image จาก Burn Folder อีกทอดหนึ่งครับ .. ให้เราเลือก Disk Image from Folder แทน ตอนสร้าง Disk Image
สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการ Burn แผ่นนะครับ จากหน้าเวป support ของ Apple มีแนะนำไว้ดังนี้
1.ถ้าแผ่นที่ใช้อยู่ Burn ไม่สำเร็จ ให้ลองแผ่นอื่น ถ้าจาก lot เดียวกันมายังไม่ได้ผล ให้ลองเปลี่ยนยี่ห้อ
2.เชคให้แน่ใจว่า Drive ที่มีอยู่ในเครื่อง สามารถเขียนแผ่นได้ (เครื่องบางรุ่นไม่สามารถเขียนได้ แต่อ่านได้อย่างเดียว เช่นพวก cd combo drive)
3.ตรวจดูหน้าแผ่น ว่ามีรอยหรือสกปรกหรือไม่ หรือว่าแผ่นมีข้อมูลอยู่ก่อนแล้วและเขียนทัับไม่ได้หรือไม่
4.ตรวจดูชนิดของแผ่น DVD ต้องเป็นแผ่นแบบ DVD-R เท่านั้นถึงจะเขียนได้ - เครื่องรุ่นใหม่ ๆ เขียนแผ่นได้ทั้ง +R,-R แล้ว
5.ถ้าเขียนแผ่นด้วยความเร็วสูงสุดแล้วมีปัญหา ให้ลองเลือกเขียนแผ่นที่ความเร็วต่ำกว่าดู
6.ถ้าเปิด app ที่ไม่ได้ใช้ทิ้งเอาไว้ ให้ปิด app นั้นไปก่อน หรือปิดทั้งหมดก็ได้ เหลือเอาไว้เฉพาะ app ที่จะใช้เขียนแผ่น
7.ตรวจดูพื้นที่ที่เหลือบน HDD เพราะการเขียนแผ่นจำเป็นที่จะต้องมีการจำลองและกินพื้นที่บางส่วนบน HDD เรา
8.Restart เครื่อง
9.Update Software ที่ใช้เขียนแผ่น
10.ถ้าเราใช้ Optical Drive แบบต่อแยกต่างหาก ให้ลองตรวจสายเชื่อมต่อว่าเป็นปรกติหรือไม่่
เกี่ยวกับการเชื่อมต่อบน OS X ครับ =)
ผมเขียนวิธีรับส่งไฟล์ระหว่างเครื่อง notebook ผ่าน Bluetooth เอาไว้แล้วบน How-to (Mac กับ Mac หรือ Mac กับ PC ก็ได้) แต่อยู่ในหัวข้อ Bluetooth, คิดว่าเกี่ยวข้องกับหัวข้อ Networking ด้วย เลยอยากจะมาทำ link เก็บเอาไว้ครับ
Tips : วิธีง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้ามสำหรับการรับส่งไฟล์ระหว่างเครื่อง notebook
สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนหมายเลข ip address ของเครื่องเราเวลาเล่น Internet ผ่าน router
ตามปรกติแล้ว router จะเป็นตัวกำหนด ip address ให้เราเองทุกครั้งที่ต่อ internet แต่สำหรับในบางกรณีที่เราต้องการจะเปลี่ยน ip address ไปยังหมายเลขอื่น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผมจะใช้เมื่อ ip address ที่ผมใช้อยู่มีปัญหา หรือว่าอัตราการรับส่งข้อมูลต่ำกว่าที่ควรจะเป็นครับ
หลักการคร่าว ๆ
note : การเปลี่ยน IP Address จะทำให้เราหลุดจาก Internet เป็นการชั่วคราว ** ไม่ควรทำขณะที่ยัง download ข้อมูลอยู่จาก Internet นะครับ
วิธีการเปลี่ยน ip address แบบละเอียด
ขั้นตอนที่ 1 : ไปที่ System Preferences เลือก Network
เราจะเห็นรายละเอียดของ IP address ที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน
ขั้นตอนที่ 2 : หัวข้อ IP Address เลือก hi-light ข้อความและ copy ตัวชุด IP ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
ขั้นตอนที่ 3 : หัวข้อ Configure เลือกเปลี่ยนจาก Using DHCP เป็น Using DHCP with manual address
เราจะเห็นช่อง IP Address เปล่า ๆ ขึ้นมาแบบนี้ครับ
ขั้นตอนที่ 4 : ให้เรา paste หมายเลข IP ขุดที่เรา copy เอาไว้เมื่อสักครุ่ลงไป พร้อมด้วยเปลี่ยนเลขหลักสุดท้าย เป็นหมายเลขที่เราไม่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบันครับ จะเป็นเลขอะไรก็ได้ สุ่มขึ้นมาครับ
ไม่ต้องกลัวว่าจะไปซ้ำกับเลข IP อื่นที่มีคนใช้อยู่แล้ว ... เพราะระบบจะกันตรงนี้ให้เราเอง คือถ้าเราเปลี่ยนไปใช้เลข IP อื่นที่มีคนใช้อยู่ หรือระบบไม่เปิดให้เราเอามาใช้ เราจะหลุดจาก IP เดิมที่เรามีครับ ซึ่งตรงนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการ =)
จากตัวอย่าง ผมใช้ IP ที่อยู่ถัดไปหนึ่งเบอร์ (จาก .15 เป็น .16 ) ครับ ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ เพื่อที่จะทำให้เครื่องของเราหลุดจาก IP ที่ใช้อยู่เดิมครับ จากนั้นกด Apply ที่ทางด้านล่างขวาครับ
หลังจากกด Apply แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะหลุดจากชุด IP เดิมของเรา โดยที่หน้ารายละเอียดนี้จะไม่แสดงอะไรขึ้นมาครับ เป็นช่องเปล่า ๆ ตามภาพตังอย่างในหัวข้อถัดไป
ขั้นตอนที่ 5 : ในหน้ารายละเอียดเปล่า ๆ ของ IP ที่เราสุ่มมาใหม่นี้ ให้เลือก Advance ครับ
ขั้นตอนที่ 6 : เราจะถูกพามายังหน้าต่างใหม่ ให้เลือกปุ่ม Renew DHCP Lease ครับ
จากนั้นรอสักพัก เขาจะกำหนดหมายเลข IP Address ชุดใหม่ให้เรา
การทำแบบนี้เพื่อเป็นการร้องขอ IP Address ชุดใหม่ใหักับเครื่องของเราครับ ตามปรกติเราจะได้ IP Address ชุดใหม่มาในขั้นตอนนี้ เป็น IP ที่ไม่ซ้ำกับอันเดิมที่เราใช้ก่อนหน้านี้นะครับ.. ในกรณีของผม ได้อันใหม่มาแบบนี้
note : การ Renew DHCP Lease นี้ บางครั้งจะยังได้ IP ชุดเดิมที่เราไม่ต้องการอยู่.. ให้ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2 ถึง 4 ใหม่จนกว่าเขาจะเปลี่ยน IP ชุดใหม่ให้เรานะครับ
หลังจากได้ IP Address ชุดใหม่มาแล้ว ให้กด OK เพื่อปิดหน้าต่างนี้ไป และกลับไปยังหน้าเดิมเกี่ยวกับ Networking ของเรา
ซึ่งเราจะเห็นรายละเอียดของ IP ชุดใหม่ปรากฎอยู่ในหน้านี้แล้วให้เรากด Apply อีกครั้ง จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง System Preferences นี้ไป เป็นอันเสร็จครับ =)
Spotlight : เป็นการค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในเครื่องเราครับ นึกภาพประมาณว่า มี Search Engine ไว้ช่วยค้นหาไฟล์บนเครื่องของเรา .. ซึ่ง spotlight นี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่บน OS X เวอร์ชั่น 10.4 ครับ แล้วก็ยังติดตามมาบน 10.5 ด้วย ซึ่ง spotlight บน 10.5 นี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากบน 10.4 พอสมควร
spotlight ค้นหาอะไรได้บ้าง?
เมื่อเรากรอกคำค้นหาที่เราต้องการลงไปในช่อง search แล้ว.. ที่เราจะได้ออกมาเป็นผลการค้นหานั้นจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรง หรือทางอ้อม กับคำค้นที่เราใส่ลงไปครับ ตามนี้..
note : เมื่อเราคลิ๊กไปที่ผลการค้นหาที่ได้ เราจะเปิดไฟล์นั้นบน app ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาครับ
การเรียกใช้งาน spotlight
ปรกติ เราสามารถเรียกใช้งาน spotlight ได้จากช่องค้นหาบนหน้าต่าง Finder ครับ
หรือว่าจากเครื่องหมายแว่นขยายบน menu bar
note : ดั้งเดิมเราสามารถเรียกใช้งาน spotlight ผ่าน shortcut = Command+Space bar แต่สำหรับคนที่ใช้ shortcut นี้สำหรับเปลี่ยนภาษาไปแล้ว จะมี shortcut ของ spotlight ที่ต่างไปจากนี้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้ง shortcut ใหม่ให้ spotlight ว่าอะไร .. โดยปรกติจะหนีไปอยู่ที่ Option+Space bar แทน
Spotlights บน 10.5 ทำอะไรได้อีก?
บน 10.5 spotlight มีความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาครับ ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
เราสามารถปรับแต่งการแสดงผลของ spotlight และรวมไปถึงการกำหนดว่าไม่ให้ spotlight แสดงผลอะไรบ้างตามที่เราต้องการได้ด้วย ซึ่งมีวิธีการดังนี้
เปิด System Preferences แล้วเลือก Spotlight
เราจะเปิด Spotlight preferences ขึ้นมา
ใน Search Results tab
บน Search Result นี้เราสามารถที่จะเรียงลำดับผลการค้นหาได้ใหม่ เราก็จับแล้วลากสลับตำแหน่งตามที่ต้องการได้เลย
นอกจากนี้ยังมีหัวข้อแสดง shortcut ในการเรียกใช้งาน spotlight ด้านล่างอีก 2 หัวข้อดังนี้
Privacy tab
ในบางกรณีที่เราไม่ต้องการให้ spotlight แสดงผลการค้นหาของบาง file/folder เราสามารถกำหนด spotlight ไม่ให้ index หรือว่าแสดงผลการค้นหาของไฟล์ที่เราต้องาการได้จากตรงนี้
เราอยากให้ spotlight ยกเว้นผลการค้นหาไฟล์อะไรบ้าง ก็ให้กด + เพื่อเพิ่มไฟล์ /แฟ้ม ที่เราไม่ต้องการเข้าไป
Tips & Tricks ในการใช้งาน Spotlight ครับ
note : ถ้ารายการด้านซ้ายมือซ้อนกันจนอ่านไม่รู้เรื่อง ให้ดู list จากด้านล่างนี้แทนนะครับ
เป็นความสามารถใหม่บน 10.5 ของ spotlight ครับ คือเราสามารถเรียกเปิด application ที่เราต้องการได้จากใน spotlight ได้โดยตรงเลย..
ที่เราต้องทำคือ ใส่ชื่อ app ที่เราต้องการจะเปิดลงในช่อง search ครับ จะใส่เต็มคำหรือว่าบางส่วนก็ได้ แล้วดูจากผลการค้นหาที่ได้ออกมา ถ้า app ที่เราต้องการอยู่ในผลการค้นหาก็เลือกแล้วกด enter เพื่อเปิด app นั้นขึ้นมาได้เลยครับ
การใช้ spotlight สำหรับเปิด app นี้ ผมใช้ค่อนข้างจะบ่อยนะ ช่วยให้เราไม่ต้องไปค้นหาโปรแกรมจากใน application folder และทำให้ dock เราไม่รกอีกด้วย เพราะเราไม่ต้องเอา app มาวางไว้ใน dock เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เราสามารถใช้ Spotlight ในการคำนวณหรือว่าคิดเลขได้ครับ โดยทั่วไปเราจะเข้าใจว่า spotlight เอาไว้คิดเลขคร่าว ๆ เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเค้าสามารถคิดเลขที่ซับซ้อนพวก รากที่2 หรือยกกำลัง หรือว่า sin, cos, tan ได้ด้วย เพียงแต่เราต้องใช้คำสั่งให้ถูกเท่านั้นเองครับ =)
ตัวอย่างการใช้ spotlight ช่วยคำนวณในแบบต่าง ๆ
การบวกลบคูณหารทั่วไป
ใช้ำคำนวน sin,cos,tan
หารากที่ 2
คำนวณเลขยกกำลัง
จากตัวอย่าง คือเลข 2 ยกกำลัง 3 ครับ ได้ผลลัพท์เท่ากับ 8
บางครั้ง หลังจากที่เราค้นหาไฟล์จากใน spotlight แล้วได้ผลการค้นหามาแล้ว เราเพียงแค่อยากจะทราบว่าไฟล์ที่ต้องการนั้นอยู่ตรงไหนภายในเครื่อง โดยไม่ต้องการที่จะเปิดไฟล์นั้นขึ้นมาโดยตรง
ทำได้ด้วยการกด command ค้างเอาไว้ก่อนคลิ๊กที่ชื่อไฟล์บนผลที่ได้ตรงผลการค้นหาจาก spotlight ครับ
เมื่อเรากด command + click ที่ชื่อไฟล์แล้ว สักพักนึงเค้าจะเปิด finder ปลายทางอันใหม่ขึ้นมา ที่มีไฟล์เราอยู่ในนั้นครับ
เหมือนบน Search Engine ส่วนใหญ่ ที่เราสามารถจำกัดวงการค้นหาให้เฉพาะเจาะจงตามที่เราต้องการได้ ใน spotlight เราก็สามารถทำได้ทำนองเดียวกันในหลาย ๆ วิธีดังนี้
การค้นหาชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้องแบบเฉพาะเจาะจง
เราสามารถทำได้โดยการเพิ่มคำว่า AND และ NOT ลงไประหว่างคำค้นที่เราต้องการ
note : คำว่า AND และ NOT จะต้องเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น
ตัวอย่าง
ผมจะได้ผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำค้น sky และ apple เท่านั้นด้วยกัน
ได้ผลการค้นหาที่ไม่ใช่ไฟล์ Numbers และใน mail ครับ
การค้นหาตามประเภทของไฟล์
เราสามารถค้นหาตามประเภทของไฟล์ที่เกี่ยวข้องได้จากการเพิ่มคำว่า kind:(ประเภทของไฟล์) ลงไปในช่องค้นหา เช่น
ค้นหาไฟล์ชื่อ sky ที่เป็นไฟล์ภาพเท่านั้น (kind:image)
จากตัวอย่าง ผมต้องการค้นหาไฟล์ที่มีชื่อว่า sky และมีนามสกุลแบบ tga และเป็นไฟล์ภาพเท่านั้น (kind:image)
ตารางแสดง การค้นหาตามประเภทของไฟล์
ประเภทของไฟล์ที่เอาไว้ใช้คู่กับคำสั่ง kind: ครับ
ประเภทของไฟล์ | การใช้งานคู่กับ kind: |
Applications | kind:application
kind:applications |
Contacts | kind:contact
kind:contacts |
Folders | kind:folder
kind:folders |
kind:email
kind:emails |
|
iCal Events | kind:event
kind:events |
iCal To Dos | kind:todo
kind:todos |
Images | kind:image
kind:images |
Movies | kind:movie
kind:movies |
Music | kind:music |
Audio | kind:audio |
kind:pdf
kind:pdfs |
|
Preferences | kind:system preferences
kind:preferences |
Bookmarks | kind:bookmark
kind:bookmarks |
Fonts | kind:font
kind:fonts |
Presentation | kind:presentation
kind:presentations |
ที่มา : จาก help ใน spotlight ครับ
บทความนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการ Install & Uninstall โปรแกรมต่าง ๆ ที่เราติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไปบน OS X ที่จะมีโดยทั่วไปอยู่ 2 แบบคือ
โดยจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ ดังนี้
จะเป็นการติดตั้ง Package โปรแกรมผ่าน Installer.app ส่วนใหญ่ใช้กับการติดตั้งโปรแกรมใหญ่ ๆ หรือว่าโปรแกรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ system files |
<
ul style="list-style-type: disc">
เป็นการติดตั้ง Bundle โปรแกรมผ่าน Disk Image แบบลาก copy มาไว้ใน Application folder ส่วนใหญ่ใช้กับโปรแกรมเล็ก ๆ หรือโปรแกรมที่โลหดมาติดตั้งจาก internet (ดูเกี่ยวกับ Bundle /Application Bundle ได้จากเนื้อหา การ Install แบบ Bundle + Disk Image ประกอบ) |
note :
อ่านอ้างอิงประกอบแบบละเอียดได้จาก
http://developer.apple.com/tools/installerpolicy.html
การ Install ทั่วไปบน OS X
http://support.apple.com/kb/HT1148?viewlocale=en_US
เกี่ยวกับ OS X Installer
http://en.wikipedia.org/wiki/Installer_(Mac_OS_X)
เกี่ยวกับ Uninstall โปรแกรมบน OS X
http://guides.macrumors.com/Uninstalling_Applications_in_Mac_OS_X
การ Install
หน้าตาของตัว Package จะมีลักษณะแบบนี้ครับ จะมีไฟล์ต่าง ๆ ซ่อนอยู่ภายใน icon รูปกล่องน้อย ๆ อันนี้
เวลา Install ให้ดับเบิลคลิ๊กที่ตัว package จะเป็นการเรียกใช้งาน Installer.app ขึ้นมาจากในเครื่องเราแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยในการ Install ครับ จะมีหน้าตาแบบนี้
แล้วจากนั้นจะเข้าหน้า Installer เพื่อช่วยเราติดตั้งโปรแกรมตามปรกติทั่วไป
วิธีการติดตั้งผ่าน Installer แบบนี้ สำหรับผู้ใช้งานแมคมือใหม่ที่ใช้ windows มาก่อน จะพบว่าคล้าย ๆ กันกับการ Install โปรแกรมบน windows ครับ คือมีขั้นตอนให้เลือกกดคลิ๊ก continue ไปเรื่อย ๆ สำหรับบน OS X แล้ววิธีนี้ส่วนมากจะใช้กับโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับไฟล์ system หรือมีส่วนประกอบที่จำเป็นอื่น ๆเยอะเกินกว่าจะ Install ด้วยวิธี Bundle + Disk Image ครับ
การ Uninstall
ส่วนมากการ Install ผ่าน Installer Package แบบนี้ จะมีตัว Uninstall มาให้ เพียงแต่อาจจะมีวิธีไม่เหมือนกันในแต่ละโปรแกรมครับ ถ้าต้องการ Uninstall โปรแกรมออก ให้ลองทำดังนี้
ก่อนอื่น... Bundle / Application Bundle คืออะไร?
สำหรับผู้ใช้งานแมคมือใหม่อาจจะยังไม่คุ้นกับคำว่า Bundle มากนัก (จริง ๆ สำหรับ mac user หลาย ๆ คนก็ไม่เคยได้ยินคำนี้เหมือนกันครับ - ตัวผมเองเป็นต้น) ตัว Bundle จะเป็นคล้าย ๆ กับ folder หลักของโปรแกรมนั้น ๆ ที่จะเก็บ folder ที่เกี่ยวข้องกับ application นั้น ๆ เอาไว้อีกที มีหน้าตาเป็น iCon ของแต่ละโปรแกรมครับ
เป็น icon แบบเดียวกับที่แสดงใน Applications folder ในเครื่องเรา โดยตัว icon พวกนี้คือ Bundle ที่จะมี folder ย่อย ๆ ซ่อนอยู่ ลองคลิ๊กขวาที่ icon โปรแกรมไหนก็ได้แล้วเลือก Show Package Contents จะเห็นภาพ
ห้ามเลือกผิดนะครับ เพราะอาจจะพา app ลงถังขยะได้ (มาถึงตรงนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีกรณีลบ app โดยไม่ตั้งใจเยอะมาก... คำสั่งอยู่ติดกันแบบนี้ - -) และเมื่อเลือกมาแล้ว ก็จะเห็น folder + file ต่าง ๆ ขึ้นมาเหมือน folder ปรกติทั่วไปบน OS X
หมดจากอธิบายเรื่อง Bundle ไปแล้ว ก็จะมาที่วิธีการ Install app แบบ Bundle นี้กัน
การ Install แบบ Bundle + Disk Image นี้ ส่วนใหญ่จะใช้กับ application ที่ไม่ซับซ้อน หรือว่ามีขนาดเล็กที่ download มาจาก internetโดยทั่วไป app จำพวก Bundle นี้จะมาในรูปของ Disk Image ครับ มีหน้าตาแบบนี้
ตัว disk image เองจะเป็นคล้าย ๆ กับ container ที่ห่อ Bundle เอาไว้อีกทีนึง เวลา install ก็ดับเบิลคลิ๊กไปที่ disk image ที่เราต้องการ ซึ่งตัว disk image จะทำการ mount ตัวเองบน desktop พร้อมกับแสดงหน้าต่าง finder ใหม่ที่มีไฟล์ Bundle ของโปรแกรมนั้น ๆ และไฟล์ประกอบ(ถ้ามี)ขึ้นมาครับ ดูภาพด้านล่างนี้ประกอบ
หน้าต่าง Finder ด้านบนนี้เป็นฉบับย่อส่วนครับ ถ้าอยากเห็นแบบเต็ม ๆ ให้กดปุ่มด้านบนขวา เพื่อเรียกส่วนที่ซ่อนอยู่ของ Finder ออกมา แบบนี้ครับ
ภาพประกอบจากขั้นตอนการติดตั้ง Adium ซึ่งจะเห็นว่า DIsk Image ของ Adium จะ mount บน desktop ของเราด้วย (ตรงลูกศรหมายเลข 2)
หลังจากเราเห็นหน้าต่าง Finder แสดง Bundle ที่อยู่ใน disk image แล้ววิธี Install คือ จับ Bundle (icon app ตัวนั้นล่ะครับ) แล้วลากมาวางใน Applications folder บนเครื่องเรา
เมื่อ copy Bundle ลงใน Applications folder เราแล้ว ก็ Eject ตัว disk image ออกจาก desktop ก็เป็นอันเสร็จกรรมวิธี Install แบบ Bundle + Disk Image นี้แล้ ครับ
Tips :
สำหรับบางโปรแกรม เช่น adium ในหน้าต่าง Finder ของ disk image ที่ mount ขึ้นมา จะมี Alias (shortcut )ไปยัง Applications folder ภายในเครื่องเราให้อยู่ในนี้เลย.. ที่เราต้องทำคือลาก Bundle ไปไว้ใน Alias นั้นแทนก็ได้ครับ ให้ผลเหมือนกัน ดูภาพประกอบต่อไปนี้ครับ
เครื่องหมายลูกศรเล็ก ๆ (ในวงสี่เหลี่ยมสีแดง) จะเป็นตัวบอกเราว่านี่เป็น Alias (shortcut) ไปยัง Applications Folder ภายในเครื่องของเราครับ .. เราสามารถลาก icon (Bundle) ลงมาตรงนี้ได้เลย
การ Uninstall
ตามธรรมดาทั่วไป โปรแกรมที่เรา Install แบบลาก copy มาไว้ใน Application folder แบบนี้ เราสามารถ Uninstall ได้ด้วยการลบทิ้ง หรือว่าลากลง Trash ได้เลย แต่จะมีไฟล์ของโปรแกรมนั้นบางส่วนที่ถูกสร้างขึ้นมาทีหลังและยังค้างอยู่บนเครื่องเราครับ เพราะว่าไฟล์พวกนั้นจะอยู่ใน folder อื่น ไม่ได้อยู่ใน bundle ที่เราลากลงถังไปครับ.. ไฟล์พวกนี้ได้แก่
ถ้าเราไม่ต้องการไล่ลบไฟล์ Preferences ต่าง ๆ พวกนี้เอง มี App เสริมช่วยให้เราเอาตรงนี้ออกได้ทุกครั้งที่เรา Uninstall หรือว่าลบตัว Application Bundle ทิ้งไปครับ เช่น AppCleaner (ฟรี)
ถ้าโปรแกรมนั้นมีอยู่บน dock ด้วย หลังจากที่ลากตัว app จริงลงถังและ empty trash ไปแล้ว ตัว icon โปรแกรมจะเปลี่ยนเป็นเครื่องหมายคำถาม ให้เราลากตัว icon นั้นออกจาก dock ทิ้งไปครับ (จะเป็นฝุ่นหายไปเมื่อเอามาปล่อยนอก dock)
note :
บทความนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการไฟล์ในแบบฐานข้อมูล (Database) ในโปรแกรมพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่บน OS X คร่าว ๆ นะครับ
คือผมตั้งใจว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับ iTunes และเริ่ม iLife’08 แล้ว จึงน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจะมีการอธิบายเพิ่มเติมตรงนี้เพื่อเตรียมพื้นฐานความเข้าใจตรงนี้ร่วมกันก่อนครับ
ที่มา
สำหรับผู้ที่ใช้ Windows PC มาก่อน อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับการจัดไฟล์ในรูปแบบฐานข้อมูลนี้เท่าไหร่นัก เพราะบน WIndows PC โปรแกรมฐานข้อมูลนั้นค่อนข้างเฉพาะทาง และมีราคาแพง ไม่เหมือนกับบน OS X ที่โปรแกรมพื้นฐานต่าง ๆ แทบทั้งหมดล้วนมีการทำงานในรูปแบบของฐานข้อมูลทั้งสิ้น เช่น iTunes, iPhoto, Address Book, iCal, Mail.. ฯลฯ
ข้อดี
การจัดไฟล์แบบฐานข้อมูลมีข้อดีดังนี้
ธรรมชาติของการจัดไฟล์แบบฐานข้อมูล หรือว่า database
ส่วนใหญ่แล้วที่เราต้องทำคือการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือทั้งหมดไปใส่ไว้ใน Library หรือว่าฐานข้อมูลของโปรแกรม แล้วจากนั้น เราค่อยจัดการกับไฟล์ต่าง ๆ ใน Library ของตัวโปรแกรมนั้น ๆ อีกที.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โปรแกรมจะทำงานได้ดี และเต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ เรานำไฟล์ไปใส่ไว้ใน Library ของโปรแกรมนั้น ๆ แล้วครับ เช่น นำเพลงไปใส่ไว้ใน Library ของ iTunes, การนำไฟล์ภาพ ไปใส่ไว้ใน Library ของ iPhoto เป็นต้น
พอเราเอาไฟล์ทุกอย่างไปใส่ไว้ใน Library ของโปรแกรมแล้ว เราสามารถ
คร่าว ๆ เป็นประมาณนี้นะครับ =)
note : เอาไว้ผมจะค่อย ๆ ทะยอย update บทความนี้นะครับ คิดว่าคงจะเพิ่มเติมข้อมูลตรงนี้หลังจากที่เขียนเกี่ยวกับ iTunes, iPhoto เสร็จแล้ว
ปรกติจะมีเรื่องที่ผู้ใช้ที่เพิ่งเปลี่ยนจาก Windows PC มาใช้ Mac หลังจากใช้งานไปสักพัก จะเร่ิมเป็นกังวลเกี่่ยวกับการบำรุงรักษา OS X ให้ใหม่สดและใช้งานได้ดีอยู่เสมอ โดยจะมีอยู่สองเรื่องหลัก ๆ คือ
อธิบาย..
1.เกี่ยวกับการ Defrag Hard disk บน OS X
การใช้งานระบบไฟล์แบบ FAT32 บน Windows PC นั้น หลังจากเราเขียน อ่าน ข้อมูลบน HD ไปสักระยะแล้ว จะเกิด “หลุมอากาศ” ขึ้นบน HD ที่ทำให้ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปได้ ปรกติระบบ OS จะทำการเขียนข้อมูลข้้าม “หลุม” พวกนี้ไปให้แบบอัตโนมัติ ก็จะมีที่ตามมาคือ ข้อมูลกระจายตัวอยู่บน HD มากขึ้น ทำให้การเข้าถึงข้อมูล และการทำงานกับข้อมูลที่กระจายตัวเหล่านั้นทำได้ช้าลง ที่เรามักจะต้องทำการ Defrag Disk เองอยู่เสมอบน Windows pc ที่จะทำการจัดเรียงข้อมูลใหม่ ให้ข้อมูลอยู่ใกล้กันมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมให้ดีขึ้น
บน OS X ก็จะมีหลุมอากาศพวกนี้เกิดขึ้นเมื่อเราจัดการกับไฟล์ต่า่ง ๆ ตรงนี้เหมือนกัน ... แต่.. บน OS X จะพยายามจัดการหลุมอากาศที่เกิดขึ้นเหล่านี้เอง พูดให้ง่ายคือ ระบบ OS จะทำตรงนี้ให้เราเองครับ โดยที่เราไม่ต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติม และไม่จำเป็นครับ
อีกเหตุผลนึงที่คือ Hard disk สมัยใหม่ที่มีค่าการอ่าน - เขียนกับพื้นที่ ๆ เพิ่มขึ้นมากแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พื้นที่น้อย แล้ว OS ต้องพยายามจะหาที่เขียนข้อมูลลงไปแบบจำกัดจำเขี่ย.. ด้วยเหตุผลนี้ เป็นอีกประการที่เราไม่มีความจำเป็นในการ Defrag เพื่อการทำงานที่ดีขึ้นครับ
หรือถ้าใครไม่มั่นใจ และต้องการที่จะทำการ Defrag disk เอง ก็สามารถทำได้โดยอาศัย app อื่น ๆ มาช่วยครับ เช่น iDefrag (ไม่ฟรีครับ ราคา 17.5 ปอนด์ หรือประมาณ 950 บาทครับ)
note : จากเอกสารประกอบในเวป apple.com ระบุเอาไว้ว่า การ defrag เองนั้น อาจจะมีการย้ายตำแหน่งไฟล์สำคัญของระบบบางส่วนเกิดขึ้น และตรงนี้อาจจะก่อปัญหาให้เครื่องทำงานผิดพลาดได้ครับ
อ่านเพิ่มได้จาก
About disk optimization with Mac OS X
2.เกี่ยวกับการล้าง Temporary , Log files บน OS X
Temporary Files (Temp files) : คือไฟล์ชั่วคราวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราใช้งานเครื่องไปสักระยะ มีทั้งเกิดขึ้นจากตัวระบบ OS เอง (พวก System Logs) และเกิดจาก Application ต่าง ๆ ที่เราใช้งานบนเครื่อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีประโยชน์มากกว่าโทษครับ
ก่อนจะเข้าสู่การล้าง Temp file บน OS X ผมอยากจะเขียนอธิบายก่อน ซึ่งเป็นไฟล์ขั่วคราวที่บางคนไม่เข้าใจว่ามีเอาไว้ทำอะไร เลยพาจะลบเอาเรื่อย ๆ เพราะคิดว่ากินพื้นที่
note : การแก้ปัญหาถ้าเกิดเราเจอโปรแกรมทำงานผิดพลาดที่ดีและง่ายที่สุดเลยคือ การ restart ครับ =)
อ่าน เกี่ยวกับ Temporary Files และ System Logs บน OS X ประกอบ
ดู การล้าง Temp files, system logs บน OS X ครับ
note : บทความนี้ผมเขียนเอาตามความเข้าใจส่วนตัวเองนะครับ ตัดเรื่องข้อมูลทางเทคนิคลืึก ๆ ไป (เพราะผมเองก็ไม่รู้ ) เอาเฉพาะที่คิดว่าผู้ใช้มือใหม่ส่วนใหญ่น่าจะอ่านได้ง่ายเป็นหลัก หากมีข้อผิดพลาดหรือจะแนะนำเพิ่มเติม ก็ใส่ไว้ใน comment ด้านล่างนี้นะครับ
สำหรับคนที่ใช้ Windows pc มาก่อน อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า Temp files ที่เป็นไฟล์ที่เกิดขึ้นจาก system หรือโปรแกรมต่าง ๆ เองเรื่อย ๆ เมื่อเราใช้เครื่องของเราไปสักระยะหนึ่ง ที่จะกินพื้นที่ HD ของเราไป และในบางกรณีจะใช้พื้นที่มากเกินความจำเป็น ทำให้เราต้องหาทางจัดการล้างไฟล์เหล่านั้นทิ้ง
บน OS X ก็เหมือนกัน คือจะมีการสร้างไฟล์ชั่วคราว (Temporary Files) และ System log เกิดขึ้นระหว่างที่เราใช้งานไปแต่มีหลายอย่างที่แตกต่างกันครับ ในบทความนี้เลยจะขอเขียนถึง Temporary Files ที่มีบน OS X แบบคร่าว ๆ
Temporary Files : ไฟล์ที่เกิดขึ้นชั่วคราวทั้งจากระบบและจากโปรแกรมต่าง ๆ มีทั้งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ยอมไปไหน และมีทั้งแบบที่เกิดขึ้นแล้วจะหายไปเอง ที่เราคุ้น ๆ กันทั่วไปเช่น
System Logs : เป็นการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นของระบบ เป็นการบันทึกเองในข้างหลังการทำงานทั่วไปขณะที่เราใช้งาน OS X ครับ .. มีเอาไว้ให้ช่างเทคนิกดูเพื่อไล่หาอาการผิดปรกติของเครื่องได้ด้วยดู การล้าง Temp files และ System Logs บน OS X ประกอบครับ
การล้าง Temporary Files, System logs บน OS X สามารถทำได้หลัก ๆ 2 แบบครับ
1.การใช้ Application อื่น ๆ มาช่วยล้าง Temp files
เราสามารถใช้ Application จากผู้พัฒนาอื่น ที่ไม่ใช่จาก Apple มาใช้ล้าง temp ได้ครับ ซึ่งสามารถหาโหลดได้จากเวป mac app ทั่วไปในหัวข้อเกี่ยวกับ Utilities หรือว่า System ครับ เช่น
note : การล้าง Temp ไฟล์จากโปรแกรมต่าง ๆ ด้านบน ผู้ใช้ควรจะทราบค่าต่าง ๆ ที่ตัวเองเลือกเป็นอย่างดีก่อน เพราะอาจจะมีปัญหาที่วุ่นวายตามมาได้หากใช้งานไม่ถูกต้อง
2.การใช้ Command line สั่งงานผ่านTerminal.app บน OS X
ปรกติ OS X จะทำการล้างไฟล์ temp หรือว่า system log เป็นประจำอยู่แล้ว (ระหว่าง ตี 3-ตี 5 ของทุก ๆ วัน) แต่ถ้าเราปิดเครื่องระหว่างช่วงเวลากลางคืน เราก็อาจจะต้องสั่งงานตรงนี้เอาเอง อย่าเพิ่งกลัวครับ เป็นแค่การพิมพ์ภาษาอังกฤษบรรทัดเดียว
สามารถเข้าไปดูรายละเอียด การสั่งงานผ่าน Command line เพื่อ Manitenance OS X นะครับ ผมเขียนเอาไว้ในห้อง Tips& Tricks แล้ว =)
ดู Get Info
ปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของ OS X เช่น ภาษา, การแสดงผลของหน้าจอ, การพักหน้าจอ, การเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่น ๆ
ว่าด้วยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับ Shortcut หรือว่าคีย์ลัดบน OS X
สัญลักษณ์ใน Shortcuts บน OS X
Shortcut คือ การกดคีย์ลัดเพื่อใช้งานคำสั่งต่าง ๆ บนโปรแกรม มีเอาไว้ให้การเข้าถึงคำสั่งรวดเร็วขึ้น บน OS X จะมีปุ่มที่หลัก ๆ สำหรับกดคีย์ลัด หรือ Shortcut ดังนี้
ปุ่มบนแป้นคีบอร์ด | สัญลักษณ์ใน shortcut | เรียกว่าปุ่ม.. |
⌘ command | ⌘ | Command |
alt, option | ⌥ | Alternate, Alt, Option |
ctrl | ⌃ | Control |
fn | fn | Function |
shift | ⇧ | shift |
tab | tab หรือ →| | Tab |
esc | ⎋ | Esc, Escape |
enter | ⌤ | Enter |
return | ↩ | Return |
arrow | ←↑→↓ | ลูกศร |
page up | ⇞ | Page Up |
page down | ⇟ | Page Down |
Top (home) | ↖ | Top (Home) |
End | ↘ | End |
delete | ⌫ | Delete (ลบตามปรกติ) |
forward delete | ⌦ | Forward Delete (ลบไปข้างหน้า) |
Space bar | Space bar | Space bar |
ตัวอย่างวิธีอ่าน
⌘⇧3 = Command + Shift + เลข3 = เป็นการ Capture หน้าจอ
⌘⎋ = Command + esc = เรียกใช้งาน Front Row
ดูเพิ่มเติมได้จากใน help ของ finder แล้วพิมพ์คำว่า Symbols for special keys
การเพิ่ง Shortcut ใหักับ application ต่าง ๆ เอง
ดู System Preference : การเพิ่ม Shortcut ให้กับคำสั่งต่าง ๆ เอง
Sleep : เป็นการเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน (ทั้งจากเครื่องต่อไฟตรง หรือว่าโน๊ตบุคที่ทำงานผ่านแบตเตอรี่)
การตั้งค่าเกี่ยวกับการ Sleep
ไปที่ System Preferences เลือำ Energy Saver
เข้าหน้าต่างการตั้งค่า Sleep
อธิบาย
Setting For : ให้เราเลือกว่าจะใช้การตั้งค่านี้สำหรับสถานะการณ์ใดบ้าง โดยทั่วไปมีให้เลือก 2 แบบคือ ระหว่างที่เราต่อไฟตรงจากปลั๊ก กับ การใช้งานบนแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุค
Optimization : เลือกว่าจะปรับค่าการใช้งานแบบใด
Put the computer to sleep when it inactive for : ตั้งว่าให้เครื่อง sleep ถ้าไม่มีกิจกรรมใด ๆ เกิดขึ้นบนเครื่อง
note : ถึงเราจะไม่ได้ทำอะไรอยู่ก็ตาม แต่ถ้าบาง app ยังคงทำงานอยู่ใน background เครื่องก็จะไม่ sleep ครับ ส่วนใหญ่ app พวกโปรแกรมช่วย download จะทำให้เครื่องไม่ sleep
Put the display(s) to sleep when it inactive for : ตั้งค่าตรงนี้จะเป็นการพักหน้าจอ (แบบดับไปเลย) ครับ ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับ ScreenSaver จากภาพตัวอย่างมีคำเตือนขึ้นมาว่า หน้าจอผมจะดับก่อนที่ ScreenSaver จะทำงาน
ทำนองเดียวกัน ถ้าผมเข้าไปดูในส่วนของ ScreenSaver เค้าก็จะเตือนมาแบบนี้เหมือนกัน
Put the hard disk to sleep when possible : ทำให้ Hard disk หมุนช้าลง หรือหยุดหมุนเลยเมื่อเข้าสู่การ sleep ครับ
การตั้งค่า Schedule
ตรงนี้จะเป็นการตั้งเวลาเปิด ปิด แน่นอน หรือว่าจะสั่ง Sleep ในเวลาที่แน่นอนก็ได้
การตั้งค่า Options
Wake for Ethernet network administrator access : สามารถถูกปลุกได้จาก network
Automatically reduce the brightness of the display before display sleep : หรือหน้าจออัตโนมัติก่อน Sleep
Restart automatically after a power failure : ให้เครื่องทำการรีสตาร์ทเอง หลังจากที่ไฟตก หรือไฟกระชาก
Show battery status in the menu bar : แสดงสถานะของแบตเตอรี่บน menu bar
note : อาจจะมี options อื่นเพิ่มเติมนอกจากนี้ เช่น ถ้าในเครื่องมี modem อยู่ เราสามารถตั้งให้เครื่องถูกปลุกได้จากสัญญาณของ modem ได้ด้วย
sleep : เป็นภาวะที่เครื่องเข้าสู่โหลดประหยัดพลังงาน โดยทั่วไปเหมือนกับบน window pc ครับ แต่บน Mac มีสิ่งที่แตกต่างออกไปอีกนิดหน่อย
(ดู เกี่ยวกับการตั้งค่า sleep ประกอบ)
ตามความเข้าใจของผม การ Sleep ของเครื่องมีอยู่ 2 ระดับครับ คือ
1.การหลับแบบไม่ลึก (Idle State, Display Sleep) : หรือดับแค่หน้าจอ .. ถ้าเครื่องไม่มีกิจกรรมอะไรสักระยะ (แต่อาจจะยังมี app ที่ยังคงทำงานอยู่ใน background)หน้าจอจะดับ และ ไฟหน้าเครื่องจะติดค้าง (สำหรับ MacBook, MacBook Pro) เราสามารถเรียกกลับมาได้ด้วยการขยับเมาส์
2.หลับลึก (ที่เราเรียก ๆกันว่า Sleep นี่ล่ะครับ จะหมายถึงตรงนี้) หลังจากหน้าจอดับไปสักพัก (หรือตามที่เราตั้งเวลาเอาไว้) และไม่มีกิจกรรมใด ๆ เกิดขึ้นบนเครื่อง HDD จะเริ่มหมุนช้าลงและหยุดหมุน และทุกส่วนเข้าสู่โหลดการประหยัดพลังงานเต็มรูปแบบ ไฟหน้าเครื่องจะกระพริบเป็นจังหวะเหมือนหายใจอ่อน ๆ แบบนี้ เราเรียกกลับมาด้วยการขยับเมาส์ไม่ได้ครับ ต้องกดปุ่มบนคีบอร์ดเพื่อกระตุ้น
note : การเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานเครื่องจะค่อย ๆ ลดการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ลง จนหมดก่อนถึงจะเข้าสู่การ“หลับลึก“ ครับ ดังนั้น ถ้าเรายังขยับเมาส์แล้วเรียกเค้ากลับมาได้ แสดงว่ายังมีส่วนหนึ่งส่วนใดของเครื่องยังทำงานอยู่ และเป็นการพักแค่หน้าจอเฉย ๆ =)
มีอะไรเกิดขึ้นตอน Sleep บ้าง?
เครื่อง Desktop
เครื่องโน๊ตบุค (MacBook Series)
เราสามารถสั่งให้เครื่อง ”หลับลึก” (Sleep) ได้จาก
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Sleep ได้จาก
http://support.apple.com/kb/HT1776
http://support.apple.com/kb/HT2412?viewlocale=en_US
Tip & Tricks ในการใช้งาน OS X
เป็น Thai-Eng dictionary อีกตัวนึงที่คุณ iolimit
นำมาแนะนำในห้องสนทนาครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
http://macmuemai.com/forum/topic/345
วันนี้จะลองเขียนแนะนำเกี่ยวกับการใช้งาน Thai-Dictionary บน OS X ครับ (บทความนี้อ้างอิงจากการใช้งานได้บน OS X 10.5.5)
ทั่วไปการใช้งาน Thai-Eng Dictionary บน OS X มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ
โปรแกรมติดตั้งภายในเครื่อง
เป็น Dictionary ที่ทำงานแบบโปรแกรมเดี่ยว ๆ โดยไม่จำเป็นต้องต่อ Internet เพื่อดึงข้อมูลมาเป็นผลการค้นหา
เท่าที่ผมลองหาดูคร่าว ๆ เห็นมีของ Infinisoft Technology (มีให้โหลดจากหน้าเวปของ apple.com ในส่วนของ download ด้วย)ที่สามารถทำงานร่วมกับ shortcut ในการเรียก dictionary ปรกติภายในเครื่องได้ (กด Ctrl+Command+D) ตามภาพด้านล่างนี้
สามารถ download ได้จาก
http://www.infinisoft.co.th/mac-thai-dict
หรือ
http://www.apple.com/downloads/macosx/productivity_tools/thaidictionary.html
วิธีการติดตั้ง
วิธีปรับให้ผลการค้นหาจาก Thai-Dict เป็นลำดับแรก
1.เปิดโปรแกรม Dictionary ของเครื่องเราขึ้นมา (Application/Dictionary.app)
2.ไปที่ Preference แล้วเลือกรายการ Dict ไทย อังกฤษ ที่เราเพิ่งติดตั้งเอาไว้ในเครื่อง(น่าจะอยู่รายการล่างสุด) ให้ลากมาไว้เป็นรายการแรก ตามภาพนี้ครับ
จากนั้น พอเราเข้าโปรแกรม Dictionary ครั้งต่อไป ผลการค้นหาที่ได้จะแสดงจาก Thai-Dict ของเราก่อนเป็นลำดับแรกแล้วครับ
note : ผมค่อนข้างจะชอบที่สามารถใช้ shortcut ร่วมกับ Dictionary (Ctrl+Command+D) ที่มีอยู่ในบน OS X ได้เป็นพิเศษครับ เพราะตามปรกติ เราสามารถที่จะใช้คำสั่งนี้ได้บนเกือบทุก app ใน OS X สำหรับ Dictionary ภาษาอังกฤษเดิมนะครับ พอตอนนี้สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ด้วย ยิ่งทำให้ใช้งานสะดวกขึ้นไปใหญ่เลย =)
แบบ Dashboard Widget เพื่อใช่ร่วมกับผลการค้นหาจากในเวป
เป็นกึ่ง ๆ app ในเครื่องในรูปแบบ Dashboard Widget ครับคือเราจะกรอกคำค้นลงใน widget แล้วผลลัพท์ที่ได้จะมาจากหน้าเวป
จาก http://dict.longdo.com/ ทำออกมาในรูปแบบของ Dashboard Widget ครับ หลักการคือ เหมือน widget ทั่วไป ที่เรากรอกคำค้นหา แล้วจะได้ผลลัพท์ผ่านหน้าเวปของ Longdo อีกที (มีบริการ Dictionary สำหรับ platform อื่น ๆ อีกนอกจากบน OS X ด้วยนะครับ เช่น Vista Gadget, IE Toolbar... ฯลฯ )
สามารถ download พร้อมดูวิธีการติดตั้งได้จาก
http://dict.longdo.com/?page=widget
note : เท่าที่ผมลองใช้ดู ให้ผลการค้นหาที่ค่อนข้างจะละเอียดและรวดเร็วดีนะครับ จนบางทีก็ลืมไปว่านี่เป็นการทำงานผ่าน internet (หน้าเวปของ longdo โหลดเร็วมาก)
ใช้งาน Eng-Thai Dictionary จากหน้าเวปโดยตรง
http://lexitron.nectec.or.th/index1.php
ของ Nextec ผมว่าใช้ง่ายดี ผลการค้นหาดูไม่รก แต่บางทีก็จะหาบางคำไม่ค่อยเจอ
http://dict.longdo.com/
อันนี้ของ Longdo เป็นที่เดียวกับที่แจก widget ในด้านบนครับ เท่าที่ลองดูได้ผลการค้นหาที่ละเอียดยิบ และหน้าเวปโหลดค่อนข้างจะเร็ว
หมดแล้วครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ใครมีโปรแกรมที่เคยใช้อยู่อยากจะแนะนำก็โพสใน Comment ได้เลยนะครับ =)
จากกระทู้ การ copy ไฟล์ครั้งละเยอะ ๆ (100,000 ไฟล์) และได้คุณ homoglobin มาโพสแนะนำเพิ่มเติมเอาไว้บน freemac.net เกี่ยวกับการใช้งานคำสั่ง rsync ผ่าน terminal เพื่อทำการ copy ไฟล์
ผมเลยลองทำตามดู และคิดว่าน่าจะดีถ้าเขียนเป็น how-to เก็บเอาไว้ สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ที่อาจจะไม่คุ้นกับการใช้งานคำสั่งผ่าน terminal ให้เห็นภาพทำตามได้ง่าย ๆ โดยเน้นบนพื้นฐานของผู้ใช้งานทั่วไปแบบบ้าน ๆ เป็นหลักครับ
note : จากการทดสอบสำหรับย้ายไฟล์ 38,000 กว่าไฟล์จาก hd ภายในเครื่องของผมเองไปยัง external hd ที่ต่อผ่าน firewire400 ใช้เวลาประมาณ 4 นาทีตั้งแต่เริ่มกระบวนการจนเสร็จสิ้นครับ ..
วิธีการ copy ไฟล์ผ่านคำสั่ง rsync บน terminal ครับ
ขั้นตอนที่ 1: กำหนดเป้าหมาย และปลายทางที่เราต้องการ
บน finder ให้เปิดเอาไว้ 2 หน้าต่างดังนี้ครับ
ขั้นตอนที่ 2 : เปิด terminal.app ขึ้นมา โดยจะเรียกจากใน applications folder/ utilities หรือผ่าน spotlight แล้วพิมพ์ terminal ก็ได้ เราจะเห็นหน้าต่างเปล่า ๆ ของ terminal แบบนี้ครับ
ขั้นตอนที่ 3 : พิมพ์คำสั่ง rsync ลงใน terminal
คำสั่ง resync มีรูปแบบการใช้งานคร่าว ๆ ประมาณนี้ครับ
rsync -av [path ของ folder ต้นทาง] [path ของ folder ปลายทาง]
** คำสั่ง rsync, -av, folder ต้นทาง และ folder ปลายทาง มีเว้นวรรคคั่นอยู่นะครับ ...
อย่างในกรณีของผม เป็นแบบนี้
rsync -av /apache2/htdocs/folder ต้นทาง /Volumes/MyBook-Mac/folder ปลายทาง
โดยที่ [path ของ folder ต้นทาง] = /apache2/htdocs/folder ต้นทาง
และ [path ของ folder ปลายทาง]= /Volumes/MyBook-Mac/folder ปลายทาง
ทีนี้ สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่ไม่ทราบว่าจะพิมพ์ path ของ folder ต้นทางกับ path ของ folder ปลายทางอย่างไรดีบน terminal ให้ทำแบบนี้ครับ
จาก finder ที่เราเปิดทิ้งเอาไว้ ให้ลองลาก folder ที่เราต้องการลงในบรรทัดของ terminal ดู เราจะเห็นว่า เค้าจะขึ้น path ของ folder นั้น ๆ ให้ แบบนี้ครับ
ที่เราต้องทำคือ พิมพ์คำสั่งว่า rsync -av ทิ้งเอาไว้บน terminal แล้วลาก folder ต้นทาง และ ปลายทาง จากบน finder มาลงใน terminal เพื่อให้คำสั่งสมบูรณ์
เมื่อได้ path ต้นทาง กับปลายทางลงในคำสั่ง rsync โดยสมบูรณ์แล้ว ให้กด enter ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะเห็นว่าเขาเริ่มทำงานย้ายไฟล์ให้เราครับ
โดยไฟล์ที่มีปัญหา จะถูกแสดงขึ้นมาก่อนพร้อมด้วยระบุว่าทำไมถึงย้ายไม่ได้ให้เราทราบด้วย หลังจากนั้นก็จะเริ่มการย้ายไฟล์ตามปรกติทั่วไป เราจะเห็นหน้าต่าง terminal แสดงไฟล์ที่ถูกย้ายไล่ลงมาเรื่อย ๆ และเมื่อเสร็จกระบวนการแล้ว เขาจะแจ้งเรามาแบบนี้ครับ
หมดแล้วครับ ลองนำไปใช้งานกันดู หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ =)
มีเรื่องนึงที่ผมติดอยู่ในการทำงานแต่ก่อนของผมเสมอครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งชื่อไฟล์
เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่คิด เพราะว่าถ้าเราตั้งชื่อไฟล์แบบตามใจฉันแล้ว .. เรามีโอกาสเจอเรื่องราวดี ๆ ได้แบบนี้ครับ
เรื่องราววุ่นวายอีกเยอะที่จะตามมาเพราะการตั้งชื่อไฟล์ตามใจฉันครับ ... ผมเลยอยากจะแนะนำการตั้งชื่อไฟล์ที่ทำให้มีปัญหาน้อยที่สุดมาให้ลองนำไปใช้กันดูนะครับ
1.หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาไทย ... ควรจะตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ
ภาษาไทยเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้น ๆ ในระบบดิจิตอลเลยครับ.. เรื่องนี้บางคนไม่ทราบ หรือว่าเห็นว่าโปรแกรมเกือบทั้งหมดบน windows สามารถรองรับภาษาไทยได้ แต่ความเป็นจริงก็คือ ภาษาไทยในระบบคอมพิวเตอร์เป็นอักษขระที่ซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษเยอะมาก .. และจะหวังให้ผู้พัฒนาโปรแกรมส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดที่เป็นชาวต่างชาติมาทำความเข้าใจกับภาษาหลักของบ้านเรา คงเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ กอปรกับภาษาไทยในระบบดิจิตอลเอง ยังไม่มีมาตรฐานหรือองค์กรที่รับผิดชอบตรงนี้อย่างจริงจัง ตามที่ผมเข้าใจ.. เลยทำให้เวลาผู้พัฒนาโปรแกรมต้องการข้อมูลประกอบสำหรับอ้างอิง จึงเป็นเรื่องที่ลำบาก เวลาปัญหาเกิดขึ้นที ก็ต้องหาทางเดาหรือว่าแก้กันเองในหมู่ผู้ใช้
เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนมากกับโปรแกรมพิมพ์และภาษาไทย ที่ไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาในเรื่องของ font และอะไรต่าง ๆ
การตั้งชื่อไฟล์ภาษาไทย ถ้าโชคดี คุณจะยังใช้งานได้อยู่ แต่อาจจะมีปัญหาเมื่อเปลี่ยนเวอร์ชั่นของโปรแกรม หรือระบบ OS ที่มักจะมีการปรับปรุงในเรื่องของ font และการทำงานเกี่ยวกับ font อยู่ตลอดเวลาครับ...
การตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ จึงสามารถแก้ไขข้อจำกัดตรงนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้คำเริศหรู เอาคำบ้าน ๆ ที่ตั้งแล้วตัวเองเข้าใจก็พอครับ
2.หลีกเลี่ยงการเว้นวรรคในชื่อไฟล์
ตรงนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ การเว้นวรรคทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คือโปรแกรมไม่อ่านไฟล์นั้น ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นเฉพาะกับชื่อไฟล์ภาษาไทยเท่านั้น สามารถเกิดได้กับชื่อไฟล์ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย
ถ้าต้องการวรรคตอนจริง ๆ สำหรับชื่อไฟล์หลายพยางค์ ควรจะใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) หรือขีดล่าง (_) มาเป็นตัวแบ่งพยางค์แทนครับ เช่น
3.หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์แบบ default ที่โปแกรมตั้งมาให้ตอน save ... เราควรจะใช้คำที่สื่อความหมายที่ตัวเราเองเข้าใจและตั้งเองมากกว่า
ส่วนใหญ่พวกโปรแกรมแต่งภาพหรือไฟล์ภาพจากอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ เช่นพวกกล้องดิจิตอล หรือว่าสแกนเนอร์ มักจะตั้งชื่อไฟล์มาให้เราเอง ซึ่งจะเป็นชื่อไฟล์ในแบบที่เครื่องอ่านเข้าใจ แต่คนอ่านไม่รู้เรื่อง เช่น R122003.jpg หรือ PIC00098.jpg อะไรทำนองนี้
เราควรจะตั้งใหม่ ให้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของไฟล์หรือภาพนั้น ๆ เพื่อที่ตัวเราเอง หรือแม้แต่ผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะสามารถเข้าใจตัวไฟล์นั้นได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาดู หรือรอรูปตรง preview ให้แสดงผลเสมอไป .. ช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นได้ในระดับนึง
4.หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์ที่ยาวเกินไป
การตั้งชื่อไฟล์ที่ดี ควรจะสั้นห้วน และได้ใจความครับ จริงอยู่ ว่าระบบ OS หรือว่าโปรแกรมรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันรองรับการทำงานกับชื่อไฟล์ยาว ๆ หลายตัวอักษรได้แล้ว
แต่ในเรื่องของการใช้งานจริง ถ้าชื่อไฟล์ยาว ๆ มีโอกาสที่ชื่อไฟล์จะแสดงเพียงบางส่วนครับ เช่น
my-material-of-the-stand......jpg
อะไรทำนองนี้.. งงกันไปใหญ่ หรือไม่ก็ต้องเสียเวลาดู preview หรือเปิดไฟล์นั้นขั้นมาดู
การตั้งชื่อไฟล์ที่ดี ควรจะทำให้เราเห็นและเข้าใจได้ในวินาทีนั้นเลยโดยที่ไม่ต้องเปิด หรือทำอะไรอย่างอื่นให้วุ่นวายจะดีที่สุดครับ
หลัก ๆ ที่ผมใช้อยู่เป็นประมาณนี้ .. ใครมี tip หรือวิธีการตั้งชื่อไฟล์ก็ลองมาแชร์กันนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ =)
ทำงานเพลินๆ อยาก Capture หน้าจอเก็บไว้ แต่มันทำยังไงหละเนี่ย ปุ่ม Print screen ไปไหนล่ะ
ครับ ตามหัวข้อเลย
กำลังทำอะไรเพลินๆ อยู่ดีๆมีเสียงคนพูดมาจากในคอม ไม่ว่าจะคลิกอะไร กดตรงไหนมันพูดตามหมด
วิธีจัดการกับการเปิดหลายหน้าต่าง
วิธีช่วยจัดการให้เราทำงานได้สะดวกขึ้นเวลาเราเปิดหน้าต่างโปรแกรมหลาย ๆ อันซ้อนกัน
1.ใช้ Exposé
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การใช้งาน Exposé เบื้องต้น ครับ
2.ใช้ Spaces
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การใช้งาน Spaces เบื้องต้น ครับ
3.กด Command + Tab (⌘+Tab)
ลองกดดูครับ จะเป็นการบอกเราว่าตอนนี้เราเปิดโปรแกรมไหนอยู่บ้าง และให้เราเลือกถ้าเราต้องการจะสลับไปใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ (โดยการกด Tab ไล่ไปเรื่อย ๆ หรือว่าใช้เมาส์คลิ๊กโปรแกรมที่ต้องการได้เลย)
4.วางแผนในการทำงานล่วงหน้า - - เปิดเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้
ตรงนี้ช่วยท่านได้ครับ =)
เวลาทำงานก็เปิดเฉพาะ application ที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากจะทำให้เครื่องมีทรัพยากรสำหรับทำงานมากขึ้นแล้ว เรายังจะมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นไปด้วย = งานเสร็จเร็วขึ้น และมีเวลามากขึ้นในชีวิตครับ
หลายๆคนคงไม่ค่อยพอใจกับการเรียงตัวของ Menu bar icon ไม่น้อย